“ธรรมชาติทรายแก้ว” ยึดหลักปฏิบัติ 6 ด้าน สร้างมาตรฐานสู่ “เหมืองแร่สีเขียว”

“ธรรมชาติทรายแก้ว” โชว์ศักยภาพมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจยั่งยืน ตามแนวคิด ESG ยึดหลักปฏิบัติ 6 ด้าน “เหมืองแร่สีเขียว” ตอกย้ำเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม นำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ปรับใช้ในการจัดการ และดูแลสิ่งแวดล้อม ชุมชน ลดต้นทุนการผลิต

เกือบ 30 ปีนับแต่ก่อตั้งบริษัท ธรรมชาติทรายแก้ว จำกัด มุ่งมั่นในการเป็นผู้ผลิต และจำหน่ายทรายแก้วคุณภาพดีให้กับลูกค้า โดยดำเนินการอยู่ในแนวทาง 3 มิติของESG ประกอบด้วย E (Environmental) เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม S (Social) รับผิดชอบต่อสังคม และ G (Governance)

ใช้หลักธรรมาภิบาลในการดูแลธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลคุณภาพชีวิตของพนักงาน และชุมชนในพื้นที่ ส่งผลให้บริษัท ได้รับรางวัลเหมืองแร่สีเขียว (Green Mining Award) อย่างต่อเนื่อง (ตั้งแต่ปี 2554 – ปี 2565) จาก กรมอุตสาหกรรมพื้นฐาน และการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม

6 หลักปฏิบัติ สร้างมาตรฐานสู่ “เหมืองแร่สีเขียว”

นายวัลลภ การวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธรรมชาติทรายแก้ว จำกัด กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาในการดำเนินธุรกิจได้ยึดหลักปฏิบัติในการสร้างมาตรฐานเหมืองแร่สีเขียว 6 ด้าน ประกอบด้วย

1.การมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม

2.การลด ป้องกัน และแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม

3.การดูแลความปลอดภัย และสุขภาพอนามัยของคนงาน และชุมชนผู้อาศัยอยู่ใกล้เคียง

4. การมีพื้นที่สีเขียว และทัศนียภาพเรียบร้อยสะอาดตา

5.ความโปร่งใสตรวจสอบได้ 

6.การใช้ทรัพยากรแร่อย่างคุ้มค่า

เพื่อยกระดับมาตรฐานการประกอบการที่ดี มีความปลอดภัย เกิดการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรแร่อย่างคุ้มค่าและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดที่จะสามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างยั่งยืน

บริษัท ธรรมชาติทรายแก้ว จำกัด ตั้งอยู่ในพื้นที่ ตำบลทางเกวียน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เป็นผู้ผลิตและผู้จำหน่ายทรายแก้วให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ อุตสาหกรรมแก้วใส อุตสาหกรรมกระจกรถยนต์ และกระจกอาคาร อุตสาหกรรมเซรามิก อุตสาหกรรมหล่อโลหะ และอุตสาหกรรมเคมี ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 48,000 เมตริกตันต่อเดือน

พัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน

นายวัลลภ กล่าวต่อว่า บริษัทได้นำแนวปฏิบัติด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน และแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาใช้ในการวางระบบของเหมืองแร่ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ถึงปลายน้ำ โดยมีการจัดสรรตั้งแต่เริ่มวางพื้นที่ การใช้นวัตกรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพของเม็ดทรายแก้ว กระบวนการจัดการน้ำขุ่นหลังจากการแต่งแร่ทรายแก้ว รวมไปถึงพัฒนานวัตกรรมของกระบวนการขนส่งภายในเหมือง เพื่อใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า

พร้อมทั้งให้ความสำคัญต่อการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมโดยรอบตามข้อกำหนดของกฎหมาย ตลอดจนข้อปฏิบัติสากล เพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเว้นพื้นที่ตลอดแนวขอบเหมืองให้เป็นพื้นที่สีเขียว เพื่อเป็นกำแพงป้องกัน และลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจจะเกิดขึ้นจากการทำเหมือง เช่น ควบคุมทิศทางของฝุ่นแรงสั่นสะเทือน เสียง และการปลิวของทรายไม่ให้ออกสู่ภายนอก 

“ด้านการจัดการน้ำที่ต้องใช้ในกระบวนการผลิตแต่งแร่ทรายแก้วมากกว่าแสนลูกบาศก์เมตรต่อวันนั้น ได้มีการวางระบบตั้งแต่ขุดแหล่งน้ำขึ้นมาใช้เองโดยไม่รบกวนชุมชนโดยรอบ และไม่ดึงน้ำสาธารณะเข้ามาใช้ และได้คิดค้นระบบน้ำหมุนเวียน(Water Recycle) เพื่อนำน้ำขุ่นข้นหลังการแต่งแร่มาผ่านกระบวนการบำบัดด้วยวิธีการตามธรรมชาติ จนได้น้ำที่สะอาดแล้วนำกลับไปใช้ใหม่ ส่วนดินทรายที่ตกตะกอนทับถมเป็นดินดำ จะตักขึ้นมาเก็บไว้สำหรับบริจาคให้กับวัด โรงเรียน และชาวบ้าน ที่ต้องการนำไปใช้ในกิจการเพื่อส่วนรวม รวมไปถึงชาวบ้านโดยรอบที่ต้องการดินไปรองก้นหลุมเพื่อปลูกต้นไม้ ซึ่งจากการดำเนินการดังกล่าวสามารถลดต้นทุนในกระบวนการ การผลิตของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืนอีกด้วย” นายวัลลภ กล่าวทิ้งท้าย

https://www.bangkokbiznews.com/environment/1117876

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *